Web Blog ครููธนกร

ยินดีต้อนรับสู่เว็บบล็อกครูธนกร
เมื่อคนมองไม่เห็นซึ่งหน้าที่ ย่อมไม่มีแนวทางแสวงหา ยิ่งไม่มีกฎระเบียบเป็นเครื่องพา ต้องอัปปราแพ้พ่ายโดยเดียวดาย


ท่านขงจื้อกล่าวว่า ผู้มีอุดมการณ์ ผู้มีเมตตาธรรมย่อมไม่รักตัวกลัวตาย จนทำให้เสียอุดมการณ์ หรือสิ้นเมตตาธรรม ตรงกันข้ามกลับจะยอมพลีชีพเพื่อพิทักษ์ธรรมตามอุดมการณ์และเมตตาธรรม

คนบางคนเหมือนต้นกล้าที่เติบโตแข็งแรง แต่กลับแตกแต่ใบไม่ออกดอก คนบางคนเหมือนต้นกล้าที่แข็งแรงแล้วออกดอกแต่ไม่ออกรวง คือคนที่ไม่มีความสำเร็จ และไม่สร้างคุณประการให้แก่โลก ทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ ไม่แน่นอน ก็จะเป็นเช่นเดียวกับ ต้นกล้า เหล่านี้

ผู้มีคุณธรรมจิตใจย่อมกว้างขวาง รู้จักปล่อยวางรู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ส่วนปุถุชนนั้น มักกลัดกลุ้มวิตกกังวลอยู่ตลอดเวลา จนทำให้บุญวาสนาผ่านเลยไป


วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Web Technology 3.0

Web 3.0 กำลังจะมา ผู้ชมสามารถอ่าน เขียน จัดการ ( Read-Write-Execute ) คือจากที่ผู้เข้าไปใช้อ่าน และเพิ่มข้อมูล ผู้ใช้ก็สามารถปรับแต่งข้อมูลหรือระบบได้เองอย่างอิสระมากขึ้น สำหรับเมืองไทยนั้นจะนำเข้ามาใช้ในอนาคต เทคโนโลยีบางอย่างที่คาดว่าจะถูกนำมาใช้ใน web 3.0 ได้แก่
1. Artificial intelligence (AI) เป็นความฉลาดเทียมที่สร้างให้กับสิ่งไม่มีชีวิต ในที่นี้คือระบบคอมพิวเตอร์ อันจะเอามาเป็นเครื่องมือ ที่ช่วยคาดเดาพฤติกรรม วิเคราะห์ความต้องการของมนุษย์ ซึ่งเมื่อได้ข้อมูลนั้นมา ระบบก็จะให้ในสิ่งนั้นๆ ที่ต้องการ

หรือถ้าคิดแบบไทยๆ ก็คือหลักการของปัญญาประดิษฐ์นั่นเองครับ

2. Automated reasoning ระบบคอมพิวเตอร์ที่รู้จักการแก้ปัญหาเอง มีการประมวลผล ได้อย่างสมเหตุ พร้อมทั้ง แก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า อักทั้งปรับปรุงระบบเอง โดยอัตโนมัติไปในตัว และ Automated reasoning เองก็จัดอยู่บน พื้นฐานของหลักการในข้อที่ผ่านมา นั่นเองแหละครับ ไม่ต้องคิดมากหรอก แค่เขียนโปรแกรมทางตรรกะเป็น เก่งสูตรและสมการทางคณิตศาสตร์ หัวหมอ เทคโนโลยีในข้อนี้ ก็ตีแตกไปได้อีกเปาะหนึ่งแล้ว (ยังกะง่ายๆเน้อ)

3. Cognitive architecture อยู่บนพื้นฐานของการคัดลอก ที่คนไทยนิยมชมชอบกันนัก คงจะยิ้มหวานๆมาเชียวนะ อิอิ แต่ช้าก่อน มันไม่ใช่ของหวาน ให้ตักชิมกันง่ายๆ แบบนั้น คิดดูแล้วกันว่า การสร้างเทคโนโลยีขึ้นมา สักสองตัว ให้ทำงานได้เหมือนกันทุกประการ อันหนึ่งใช้บนโลกของความจริง อีกอันใช้บนโลกเสมือน หรืออาจจำลองจากความเป็นจริงก็ได้ อือ… มองภาพไม่ออกแหะ เอางี้ สมมุติว่า ผมจะสร้างเกมขึ้นมาสักเกมหนึ่ง เอาเป็น เ.ก.ม.ลั.ก.ห.ลั.บ อ้าวเฮ้ย… เกมฟุตบอลแล้วกัน ตัวเล่นของผมคือผีกาก้า (กำลังฮิต) แต่กลับได้ลงเล่น เป็นตัวเล่นของเชลซีไป ประเด็นคือว่าตัวกาก้าในเกมนั้น จะต้องเล่นได้ เหมือนกาก้าเล่นบนสนามจริงๆ อย่าท้วงผมว่า ปัจจุบันก็ทำกันได้แล้ว มันไม่ใช่อย่างนั้นครับ เกมปัจจุบัน มันแค่ดึงเอาลักษณะ และจุดเด่น เทคนิคลีลา พวกนี้มายัดใส่ตัวเล่น เท่านั้น ไม่ได้ดึงความสามารถ วิธีคิดออกมาจากตัวตนของผู้เล่นจริงๆ ดังนั้น ถ้าจะดึงความเป็นตัวผู้เล่น ออกมาได้จริงๆล่ะก็ มัน “ต้องศึกษาศึกษาการเรียงตัวของเซลล์สมอง ในสามมิติ ศึกษาการถ่ายเทประจุไฟฟ้า และวิเคราะห์ การเปลี่ยนแปลงทางเคมีไฟฟ้าในร่างกาย ระหว่างการคิด: Wikipedia.org” มันต้องได้แบบนี้ ถึงจะใช่ ซึ่งปัจจุบันก็ยังทำไม่ได้

4. Composite applications เป็นการผสมผสานบริการ ให้ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาทิเช่น VDOfrog ดึงวิดีโอจาก YouTube มาแสดงได้ เสมือนหนึ่ง วิดีโอนั้น ตั้งอยู่บน VDOfrog เอง ซึ่งอาจจะใช้การผสานแบบ APIs + APIs ก็ได้ ผมมองว่าข้อนี้ มันก็ยังยากอยู่เหมือนกัน และลักษณะของเว็บไซต์มันจะคล้ายว่าเป็น Aggregator ไปซะทุกทีแล้ว แต่ก็ไม่เสมอไปนะครับ การผสานบริการ ก็อาจเป็นบริการต่างชนิดกันก็ได้ เช่น VDOfrog เองได้เป็นพันธมิตรกับทาง Flickr ซึ่งอนุญาต ให้สามารถดึงรูปภาพ มาสร้างเป็นไฟล์วิดีโอ ในรูปแบบต่างๆ พร้อมทั้งแสดงผลบน VDOfrog ได้ อีกทั้ง ยังสามารถดาวน์โหลดมา แล้วเขียนใส่แผ่นเล่นได้เลย คล้ายๆกับซอร์ฟแวร์พวก Photo2VCD อะไรประมาณนี้ล่ะ อือ… อย่างนี้ก็ดีสิ ว่าไหม

5. Distributed computing เป็นลักษณะคล้ายๆกับ Data Center ครับ คือการใช้คอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องไป ประมวลผลร่วมกัน โดยใช้ความแตกต่างกันของโครงสร้าง องค์ประกอบฮาร์ดแวร์ หรือซอร์ฟแวร์ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยคอมพิวเตอร์นั้น ไม่จำเป็นต้องตั้งอยู่บนพื้นที่เดียวกัน อาจเป็นที่ไหนก็ได้ แค่มีอินเตอร์เน็ต เข้าถึงเป็นพอครับ
6. Knowledge representation การแทนความรู้ เป็นหนึ่งในสาขาสำคัญที่สุด ของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence) คือก่อนจะสร้างความฉลาดให้ระบบ ได้นั้น ต้องให้ระบบ รู้จักการนำความรู้นั้นไปใช้เสียก่อน ว่างั้นนะ

7. Ontology คือภาษาที่ใช้เป็นตัวอธิบายข้อมูลเชิงสัมพันธ์ หรือที่ผมเคยกล่าวไว้ใครหนึ่ง ในเรื่อง Data about Data นั่นแหละ พูดอีกครั้งก็คือ “ข้อมูลที่ใช้อธิบายความหมายของข้อมูล” หรือ Tags นั่นเอง ตัวอย่างง่ายๆ ก็เช่น พาหนะ (Vehicle) ที่กำหนดลักษณะของรถยนต์ (Car) ซึ่งรถยนต์ก็อาจจะเป็น ขับเคลื่อน 2 ล้อหรือ 4 ล้อ (2-Wheel Drive, 4-Wheel Drive) ก็ได้ แต่อีกความหมายหนึ่งของ Vehicle ก็อาจหมายถึง เครื่องมือเครื่องใช้ ดังนั้น Tags จะได้เป็น Truck ซึ่งแปลว่าของเล็กๆน้อยๆได้ด้วย

8. Recombinant text เคยดูหนังแอคชั่นไซไฟ ของต่างประเทศกันไหมล่ะครับ ที่ระบบคอมพิวเตอร์ มันพัฒนาจนมนุษย์ไม่สามารถหยุดมันได้ สุดท้ายมันก็กลับมาทำร้ายคนสร้างมันเอง เช่นในเรื่อง I-Robot กับ Terminator นั้น ก็คงดูๆเห็นๆกันมาบ้างแล้ว ดังนั้น แนวคิดที่ว่าจะให้มนุษย์สามารถ จัดการกับระบบ ในช่วงการทำงานช่วงใดก็ได้ จึงถูกหยิบยกมากล่าวอ้าง ว่าเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีของ Web 3.0 ด้วย อือ… จินตนาการของมนุษย์ นี่ก็ใช่ย่อยนะ ผมล่ะตื่นเต้นจริงๆ

9. Scalable vector graphics (SVG) สืบเนื่องจากมาตรฐาน การสร้างภาพนั้น มีหลายรูปแบบ ทั้ง Gif, Jpeg, Png บางรูปแบบก็ต้องเสียตังค์ จ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้ทางผู้พัฒนาเสียด้วย ดังนั้นการนิยามวัตถุ อย่างภาพ ให้มีการพัฒนารูปแบบที่เป็นมาตรฐานใช้ร่วมกัน ในแบบ XML นั้น จึงเป็นหนึ่งในเทคโนโลยี ที่น่าจะมีบทบาทสูงพอสมควร

10. Semantic Web เทคโนโลยี จัดเป็น Aggregator แบบเต็มภาคภูมิก็ว่าได้ครับ คือเป็นเว็บไซต์ ที่มีการเชื่อมโยง สัมพันธ์กับแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่มีเนื้อหาสัมพันธ์กัน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้การเชื่อมโยงของแหล่งข้อมูลนั้น อาจเป็นเครือข่ายเดียวทั่วโลกก็ได้ ตรงนี้ล่ะครับ ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์บทความ จะมีมาก และอาจไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าแหล่งข้อมูลใดเป็นของเจ้าของเค้า

11. Semantic Wiki เมื่อข้อมูลมันมีมาก คนเขียนบล็อกก็มีเยอะ ทำให้เนื้อหามัน มากมายขึ้นทุกที จนบางที ก็ไม่รู้ว่าจะค้นหาข้อมูลที่ต้องการ ด้วยคีย์เวิร์ดอะไร ดังนั้นถ้าใช้คำค้นหา แบบกว้างๆ แต่มันกำจัดวงแคบๆให้เราได้ล่ะ จะเป็นอย่างไร ผมว่ามันดีนะ การค้นหาแบบข้อมูลซ้อนข้อมูล หรือใช้การค้นหาหลายทิศทาง (Vertical Search) ผสมกับความเป็นส่วนตัวเข้าช่วย (Personalize) จะสามารถโฟกัสข้อมูลลงได้เช่นกัน ทีนี้มาคิดกันต่อสิครับว่า Google, Yahoo! Search หรือ Windows Live Search จะทำอย่างไรต่อ คิดเองเด้อ

12. Software Agents โปรแกรมที่ทำงาน ให้บรรลุจุดประสงค์ที่ตั้งไว้โดยอัตโนมัติ เช่น ผมมีบล็อกอยู่ 1 บล็อก ทำการติด Google AdSense ไปที่จุดต่างๆ อย่างเหมาะสม และไม่ผิดกฎของ AdSense ด้วยครับ ตัวผมเองไม่รู้หรอกครับว่า จุดต่างๆที่ผมติดๆไปนั้น เหมาะกับบล็อก ผมมากน้อยเพียงใด ไปดูจากที่อื่นๆ เขาแนะนำมา ว่าให้ติดตามจุดนั้นๆ อีกที ทีนี้ล่ะครับ ผมก็จะศึกษาพฤติกรรม คนอ่านบล็อกผม แล้วลองเปลี่ยนจุดไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหาจุดที่เกิดการคลิก ซึ่งก่อให้เกิดรายได้มากที่สุด และก็ต้องเสียเวลาศึกษาพวกนี้นานมากใช่ไหมล่ะครับ แล้วจะเป็นอย่างไร ถ้าการทำงานทั้งหมดนี้ Software Agents ทำให้หมด มันจัดวาง Ads ได้ถูกต้องตาม กฎอีกด้วยเทคโนโลยี ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ บางส่วนก็พัฒนากันออกมาได้แล้ว บางส่วนก็ยังเป็นแค่แนวคิดหลักการ ซึ่งก็ต้องมาดูกันต่อไปว่า ไทยเราจะตื่นตัวกับเทคโนโลยี เช่นนี้มากน้อยแค่ไหน หรือว่าจะยังคงตกยุคอยู่กับ Web 1.0 ต่อไป และคงเห็นกันแล้วนะครับว่า Web 3.0 นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย

http://www.kroobannok.com/38859

กรุงศรี ออโต้ มอบคอมพิวเตอร์เพื่อลูกเสือและยุวกาชาดไทย

นายเฉลียว อยู่สีมารักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ  เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือโครงการ กรุงศรี ออโต้ มอบคอมพิวเตอร์เพื่อลูกเสือและยุวกาชาดไทย ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการกับบริษัทอยุธยา แคปปิตอล ออโต้ลีส จำกัด (มหาชน)  วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ณ ห้องประชุมกระทรวงศึกษาธิการ

กระทรวงศึกษาธิการขอขอบคุณที่ภาคธุกิจตระหนักถึงความสำคัญในการจัดการศึกษาโดยการเข้ามาช่วยเหลือให้การสนับสนุนต่างๆ นับเป็นแบบอย่างที่ดีของสังคม ที่สำคัญกระทรวงศึกษาธิการยังมีสถานศึกษาอีกจำนวนมากที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ขาดแคลนอุปกรณ์การเรียนการสอนที่จำเป็น รวมถึงขาดโอกาสในด้านต่างๆ การได้รับบริจาคคอมพิวเตอร์ในครั้งนี้นับเป็นการสนับสนุนนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการในการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กไทย โดยเฉพาะนักเรียนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลได้มีโอกาสเพิ่มพูนสติปัญญาและพัฒนาความสามารถ ผ่านกิจกรรมการศึกษาในช่องทางต่างๆ รวมถึงช่องทางออนไลน์ และยังส่งเสริมให้มีการใช้คอมพิวเตอร์และโปรแกรมสำเร็จรูปเป็นสื่อการสอนได้อย่างดีอีกด้วย

ที่มา http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=21461&Key=news2

NComputing ตั้งระบบคอมฯนำร่อง5แสนชุด

NComputing ตั้งระบบคอมฯนำร่อง5แสนชุด



    NComputing ผู้นำตลาดด้านระบบคอมพิวเตอร์ราคาประหยัด ประกาศความร่วมมือและการเป็นพันธมิตรร่วมกับ สํานักงานกิจการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Department of Economic and Social Affairs – UNDESA) ทั้งนี้ เพื่อติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ให้กับโรงเรียนในชั้นประถมและมัธยมศึกษาในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก โดย NComputing พร้อมนำร่องโครงการ ติดตั้งอุปกรณ์กว่า 500,000 จุดภายในปีพ.ศ.2555 หรืออีก 3 ปี ข้างหน้า ภายใต้การสนับสนุนจากนายบัน คี มูน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ พร้อมด้วย โกลบอล อัลลิอานซ์ ฟอร์ ไอซีที เดเวลอปเมนท์ หรือGAID และ UNDESA

นายซาร์บูแลนด์ คาน ผู้ประสานงานโครงการ UNDESA-GAID กล่าวว่า การริเริ่มในครั้งนี้จะได้มีบทบาทสำคัญในการลดช่องว่างด้านการศึกษาและเทคโนโลยี ที่เกิดขึ้นกับเด็กๆในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก และเพิ่มโอกาสเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี ถือได้ว่าเป็นเสาเหตุหลักการพัฒนาระบบการศึกษา สังคม และเศรษฐกิจในศตวรรษที่ 21 นี้

รายงานข่าวแจ้งต่อว่า โครงการนำร่องครั้งแรกที่ประเทศบูกีนาร์ ฟาโซ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ตามมาด้วยโครงการอื่นๆที่ขยายไปยังประเทศรวันดา เซเนกัล และแทนซาเนียภายในปีพ.ศ. 2552 นี้ โครงการดังกล่าว จะใช้ระบบเดสก์ท็อปเสมือนจริงรองรับการทำงานบนแพลทฟอร์มลินุกซ์ของNComputing ประมาณ 1,000 ชุด ทั้งนี้ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของNComputing มีราคาประหยัด ขนส่งและติดตั้งได้อย่างง่ายดาย มีความเหมาะกับลักษณะโครงการ นอกจากนี้ ยังพร้อมสนับสนุนทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่จะเข้าไปช่วยเหลือด้านการขนส่งและการดำเนินงานสำหรับโครงการขนาดใหญ่เช่นกัน

นายพอล จิน กล่าวว่า เดสก์ท็อปเสมือนจริง NComputing ถือเป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้มีโอกาสในการขยายช่องทางการเข้าถึงคอมพิวเตอร์เพิ่มมากขึ้นเป็นจำนวนมาก รวมทั้งมีความสะดวกสบายในการติดตั้ง โครงการนี้ทำให้สามารถนำคอมพิวเตอร์ที่ได้รับการบริจาค และการปรับปรุงใหม่มาใช้ได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด ทั้งนี้ ด้วยระบบการติดตั้งง่าย รวมถึงการประหยัดพลังงาน ถือเป็นหลักการสำคัญที่ต้องมีการนำมาพิจารณาเพื่อใช้กับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา


นายสตีเฟ่น ดักเกอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานกรรมการบริษัท NComputing กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมมือกับองค์การสหประชาชาติในโครงการสำคัญดังกล่าว ทั้งนี้ มั่นใจได้ว่า เด็กๆ กว่าหลายล้านคนทั่วโลก จะได้รับประโยชน์จากโครงการไม่มากก็น้อย อีกทั้ง ยังหนึ่งในวิสัยทัศน์สำคัญก็คือ การลดช่องว่างความแตกต่างทางเทคโนโลยี หรือปรากฏการณ์ ดิจิตัล ดีไวน์

รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า โครงการดังกล่าว ได้รับความช่วยเหลือและการร่วมมือร่วมใจกันจากบริษัท และภาคธุรกิจหลากหลายฝ่าย รวมถึงบริษัทรีไซเคิลเครื่องคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัย และองค์การที่ไม่แสวงหาผลกำไร หรือเอ็นจีโอ ทั้งนี้ เพื่อสรรหาและสนับสนุนโครงการทั้งในด้านเทคโนโลยี การขนส่ง การพัฒนา และการฝึกอบรมเพื่อการติดตั้งอุปกรณ์ทั้งในทวีปแอฟริกาและประเทศกำลังพัฒนาอื่นทั่วโลก

http://www.ee-part.com/news/6045  วันที่ 26 พ.ย. 53

Web เทคโนโลยี

Web Technology


" web1.0 " มันคืออะไร!!
" web1.0 " เป็นเว็บสมัยดั้งเดิมเป็นเว็บที่อยู่ในสมัยยุคแรกที่ internet กำลังดังเพราะไอ้เจ้า " web1.0 " ตัวนี้นี่แหละที่ทำให้โลกของ internet ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะ " web1.0 " เป็นเว็บไซต์ที่นำเสนอข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ด้านต่างๆ ที่เราอยากรู้ ซึ่งจะส่งเนื้อหาต่างๆ ขึ้นหน้าจอคอมพิวเตอร์เพียงเดียวเพื่อนำเสนอผู้ที่มาเข้าชม พูดได้ง่ายๆ " web1.0 " ก็คือเว็บไซต์ต่างๆ ที่เราเปิดเพื่อค้นหาข้อมูลในการทำรายงานส่งอาจารย์นั่นเอง ในทฤษฎีของการสื่อสารถือว่าเป็นการสื่อสารทางเดียว ( one-way communication ) เพราะไม่มีการตอบรับจากผู้ที่ได้รับข้อมูล
ส่วน " web2.0 " เป็นคำที่ถูกนิยามขึ้นโดยบริษัทที่ทำเกี่ยวกับ Media ของอเมริกาที่มีชื่อว่า " O'Reilly Media " ในปีค.ศ.2004 ซึ่ง " web2.0 " นี้เป็นชื่อที่ใช้เรียกรวมๆ เกี่ยวกับการใช้งาน " internet " ที่มีการก้าวเข้ามาสู่ยุคที่ 2 ที่มีพื้นฐานการให้บริการเป็นหลัก และมีรูปแบบการใช้งาน " internet " ที่เปลี่ยนไปหรือกล่าวได้ว่าเป็นสังคม " network " ที่ผู้ใช้ " internet " มีส่วนรวมในการสร้างมันขึ้นมาซึ่งเป็นการสะท้อนความต้องภายในของผู้ใช้อย่างชัดเจน ซึ่ง " web2.0 " มีคุณลักษณะ " web2.0 application " และ " web2.0 website " ซึ่งจะต้องมีสิ่งหลักๆ เหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย
1. " network as platform " คือจะต้องให้บริการหรือสามารถใช้งานผ่านทาง " web browser " ได้
2. ผู้ใช้งานที่เป็นเจ้าของข้อมูลบน " website " นั้น สามารถดำเนินการใดๆ ก็ได้กับข้อมูลนั้น
3. โครงสร้างของการมีส่วนร่วมและความเป็นอิสระนั้นจะเป็นสิ่งกระตุ้นให้ผู้ใช้เพิ่มคุณค่าให้กับ " website " หรือ " application " นั้น กล่าวคือ การมีส่วนร่วมและความเป็นอิสระจะทำให้มีการใช้งานมาก ทำให้สิ่งนั้นมีคุณค่าน่าสนใจ
4. ใช้ ajax ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีความฉลาดมีการโต้ตอบกับผู้ใช้และมี interfaceที่ง่ายในการใช้งาน
 ความแตกต่างระหว่าง Web 1.0 และ  Web 2.0 
ข้อ 1  Web1.0 แก้ไขอัพเดตข้อมูลต่างๆในหน้าเว็บได้เฉพาะ Webmaster หรือคนดูแลเว็บไซต์เท่านั้น
แต่ Web2.0 สามารถสื่อสารตอบโต้ได้ทั้งผู้สร้างเว็บและผู้ใช้เว็บ    ดังเช่น  Blog  หรือการโพสต์กระทู้ต่างๆ

ข้อ 2  Web 1.0  สร้างเรตติ้งแบบปากต่อปากได้ยาก  เนื่องจากสื่อสารทางเดียวแต่ Web 2.0 สามารถสร้างปรากฏการณ์แบบปากต่อปากได้ดังไฟลามทุ่ง  จากการแนะนำผ่าน Blog ส่วนตัว  คุณอาจตัดสินใจซื้อครีมชนิดนั้นมาใช้เพราะคนที่ใช้แล้วดีมาเขียนบอกใน Blog   หรือเลิกซื้อขนมปังยี่ห้อนั้นไปตลอดชีวิต  เมื่อมีคนถ่ายภาพราขึ้นแฮมจากร้านนั้นมาลงให้ดู  ซึ่งเป็นสิ่งที่ Web 1.0 ไม่อาจทำได้
ข้อ  3  Web 1.0  ให้ข้อมูลความรู้แบบตายตัว  การเปลี่ยนแปลงแก้ไขขึ้นอยู่กับ Webmaster
แต่ Web 2.0  สามารถต่อยอดข้อมูลต่างๆออกไปได้ไม่จำกัด  และข้อมูลจะถูกตรวจสอบคัดกรองอยู่ตลอด ตัวอย่างเช่น Wikipedia  ที่ใครก็สามารถเขียนในสิ่งที่ตนรู้ลงไปได้

Web 2.0 ยังก่อให้เกิดการตลาดแบบใหม่   สร้างงาน   สร้างธุรกิจเงินล้านบนอินเตอร์เน็ต  ก่อให้เกิดนักธุรกิจในโลกออนไลน์มากมาย  
ถึงตรงนี้  หลายคนคงเข้าใจเจ้า  Web 2.0  กันดีขึ้นแล้ว   เพราะแท้ที่จริง  มันก็อยู่ตรงหน้าของเราทุกวันนี่เอง

ที่มา http://www.kroobannok.com/38859
http://pingmove.spaces.live.com/blog/cns!250F41E39E89B69E!237.entry